ฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์ไทย)
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ฉันทลักษณ์ไทย |
---|
กลวิธีประพันธ์ |
ฉันทลักษณ์ หมายถึง ลักษณะบังคับของคำประพันธ์ไทย ซึ่งกำชัย ทองหล่อให้ความหมายไว้ว่า ฉันทลักษณ์ คือตำราที่ว่าด้วยวิธีร้อยกรองถ้อยคำหรือเรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นระเบียบตามลักษณะบังคับและบัญญัติที่นักปราชญ์ได้ร่างเป็นแบบไว้ ถ้อยคำที่ร้อยกรองขึ้นตามลักษณะบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ เรียกว่า คำประพันธ์[1] และได้ให้ความหมายของ คำประพันธ์ คือถ้อยคำที่ได้ร้อยกรองหรือเรียบเรียงขึ้น โดยมีข้อบังคับ จำกัดคำและวรรคตอนให้รับสัมผัสกัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ โดยแบ่งเป็น 7 ชนิด คือ โคลง ร่าย ลิลิต กลอน กาพย์ ฉันท์ กล ซึ่งก็คือ ร้อยกรองไทย นั่นเอง
ร้อยกรองไทยมีความหมาย 2 นัย นัยหนึ่งหมายถึงการแต่งหนังสือดีให้มีความไพเราะ อีกนัยหนึ่งหมายถึงถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบทบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น กวีนิพนธ์ บทกวี บทประพันธ์ กวีวัจนะ ลำนำ บทกลอน กาพย์กลอน กลอนกานต์ กานต์ รวมทั้งคำว่าฉันท์ กาพย์และกลอนด้วย[2] บทความนี้มุ่งให้ความรู้เรื่องลักษณะบังคับของร้อยกรองไทยเป็นสำคัญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจคำประพันธ์ไทยต่อไป
ตำราฉันทลักษณ์ไทย
[แก้]ตำราแต่งร้อยกรองไทยที่ถือเป็นตำราหลักเท่าที่ปรากฏต้นฉบับในปัจจุบัน มีอยู่ 7 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นตำราแต่งกวีนิพนธ์แบบฉบับ ได้แก่
- จินดามณี
- ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน
- ชุมนุมตำรากลอน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- ประชุมลำนำ ของ หลวงธรรมาภิมณฑ์
- ฉันทศาสตร์ ของ นายฉันท์ ขำวิไล
- ฉันทลักษณ์ ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร
- คัมภีร์สุโพธาลังการ แปลโดย น.อ.แย้ม ประพัฒน์ทอง
การแบ่งฉันทลักษณ์
[แก้]สุภาพร มากแจ้ง[3] ได้วิเคราะห์ฉันทลักษณ์ร้อยกรองไทยไว้อย่างละเอียดใน กวีนิพนธ์ไทย
ซึ่งกล่าวว่าการแบ่งฉันทลักษณ์อย่างแคบและนิยมใช้อยู่ทั่วไปจะได้ 5 ชนิดใหญ่ ๆ แต่หากรวมคำประพันธ์ท้องถิ่นเข้าไปด้วยจะได้ 10 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่
คำประพันธ์ทั้ง 10 ชนิดนี้ ถ้านำมาแบ่งตามลักษณะบังคับร่วมจะได้ 2 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ 1 ไม่บังคับวรรณยุกต์ ได้แก่ ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย และกานต์
กลุ่มที่ 2 บังคับวรรณยุกต์ ได้แก่ โคลง กอน (อีสาน) กาบ (อีสาน) กาพย์ (เหนือ) และค่าว
ลักษณะบังคับ
[แก้]หมายถึง ลักษณะบังคับที่มีในคำประพันธ์ไทย ได้แก่
- ครุ ลหุ
- เอก โท
- คณะ
- พยางค์
- สัมผัส
- คำเป็น คำตาย
- คำนำ
- คำสร้อย
ครุและลหุ
[แก้]- ครุ คือพยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วย สระเสียงยาว (ทีฆสระ) และ สระเกินทั้ง 4 คือ สระ อำ ใอ ไอ เอา และพยางค์ที่มีตัวสะกดทั้งสิ้น เช่น ตา ดำ หัด เรียน ฯลฯ
- ลหุ คือพยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วย สระสั้น (รัสสระ) ที่ไม่มีตัวสะกด เช่น พระ จะ มิ ดุ แกะ ฯลฯ
เอก โท
[แก้]- เอก คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอก และบรรดาคำตายทั้งสิ้น ซึ่งในโคลง และร่าย ใช้เอกแทนได้ เช่น พ่อ แม่ พี่ ปู่ ชิ ชะ มัก มาก ฯลฯ
- โท คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โท เช่น น้า ป้า ช้าง นี้น้อง ต้อง เลี้ยว ฯลฯ
คณะ
[แก้]- คณะ กล่าวโดยทั่วไปคือแบบบังคับที่วางเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คำประพันธ์ชนิดนั้น จะต้องมีเท่านั้นวรรค เท่านั้นคำ และต้องมีเอกโท ครุลหุตรงนั้นตรงนี้
- แต่สำหรับใน ฉันท์ คำว่า คณะ มีความหมายแคบ คือหมายถึง ลักษณะที่วางคำเสียงหนัก เสียงเบา ที่เรียกว่า ครุ ลหุ และแบ่งออกเป็น 8 คณะ คณะหนึ่งมีคำอยู่ 3 คำ เรียง ครุ ลหุ ไว้ต่างกัน
คณะทั้ง 8 นั้น คือ ย ร ต ภ ช ส ม น ชื่อคณะทั้ง 8 นี้ เป็นอักษรที่ย่อมาจากคำเต็ม คือ
- ย มาจาก ยชมาน แปลว่า พราหมณ์บูชายัญ
- ร มาจาก รวิ แปลว่า พระอาทิตย์
- ต มาจาก โตย แปลว่า น้ำ
- ภ มาจาก ภูมิ แปลว่า ดิน
- ช มาจาก ชลน แปลว่า ไฟ
- ส มาจาก โสม แปลว่า พระจันทร์
- ม มาจาก มารุต แปลว่า ลม
- น มาจาก นภ แปลว่า ฟ้า
กำชัย[1] ได้แต่งคำคล้องจองไว้สำหรับจำ คณะ ไว้ดังนี้
- ย ยะยิ้มยวน (ลหุ-ครุ-ครุ)
- ร รวนฤดี (ครุ-ลหุ-ครุ)
- ส สุรภี (ลหุ-ลหุ-ครุ)
- ภ ภัสสระ (ครุ-ลหุ-ลหุ)
- ช ชโลมและ (ลหุ-ครุ-ลหุ)
- น แนะเกะกะ (ลหุ-ลหุ-ลหุ)
- ต ตาไปละ (ครุ-ครุ-ลหุ)
- ม มาดีดี/มาดี ๆ (ครุ-ครุ-ครุ)
เมื่อแยกพยางค์แล้ว จะได้ ครุ-ลหุ เต็มตามคณะทั้ง 8 (ชื่อคณะนี้ ไม่สู้จำเป็นในการเรียนฉันทลักษณ์ไทยนัก เพราะมุ่งจำครุ-ลหุกันมากกว่าจำชื่อคณะ เท่าที่จัดมาให้ดูเพื่อประดับความรู้เท่านั้น)
พยางค์
[แก้]พยางค์ คือจังหวะเสียง ที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่ง ๆ หรือหน่วยเสียง ที่ประกอบด้วยสระตัวเดียว จะมีความหมาย หรือไม่ก็ตาม คำที่ใช้บรรจุในบทร้อยกรองต่าง ๆ นั้น ล้วนหมายถึง คำพยางค์ ทั้งสิ้น คำพยางค์นี้ ถ้ามีเสียงเป็น ลหุ จะรวม 2 พยางค์ เป็นคำหนึ่ง หรือหน่วยหนึ่ง ในการแต่งร้อยกรองก็ได้ แต่ถ้ามี เสียงเป็น ครุ จะรวมกันไม่ได้ ต้องใช้พยางค์ละคำ
สัมผัส
[แก้]สัมผัส คือลักษณะที่บังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน คำที่คล้องจองกันนั้น หมายถึง คำที่ใช้สระ และมาตราสะกดอย่างเดียวกัน แต่ต้องไม่ซ้ำอักษร หรือซ้ำเสียงกัน (สระใอ, ไอ อนุญาตให้ใช้สัมผัสกับ อัย ได้) มี 2 ชนิด คือ สัมผัสนอกและสัมผัสใน
- 1. สัมผัสนอก ได้แก่คำที่บังคับให้คล้องจองกัน ในระหว่างวรรคหนึ่ง กับอีกวรรคหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งที่ต่าง ๆ กัน ตามชนิดของคำประพันธ์นั้น ๆ สัมผัสนอกนี้ เป็นสัมผัสบังคับ ซึ่งจำเป็นต้องมี จะขาดไม่ได้ ดังตัวอย่าง ที่โยงเส้นไว้ให้ดู เช่น
- โคลง
แท้ไทยใช่เผ่าผู้ | แผ่มหิทธิ์ | |
รักสงบระงับจิต | ประจักษ์แจ้ง | |
ไป่รานไป่รุกคิด | คดประทุษ ใครเลย | |
เว้นแต่ชาติใดแกล้ง | กลั่นร้ายรานไทย |
- กลอน
มิใช่ชายดอกนะจะดีเลิศ | หญิงประเสริฐเลิศดีก็มีถม | |
ชายเป็นปราชญ์หญิงฉลาดหลักแหลมคม | มีให้ชมทั่วไปในธาตรี |
- 2. สัมผัสใน ได้แก่ คำที่คล้องจองกัน และอยู่ในวรรคเดียวกัน จะเป็นสัมผัสคู่ เรียงคำไว้ติดต่อกัน หรือจะเป็นสัมผัสสลับ คือเรียงคำอื่น แทรกคั่นไว้ ระหว่างคำที่สัมผัสก็ได้สุดแต่จะเหมาะ ทั้งไม่มีกฎเกณฑ์จำกัดว่า จะต้องมีอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ เหมือนอย่างสัมผัสนอก และไม่จำเป็น จะต้องใช้สระอย่างเดียวกันด้วย เพียงแต่ให้อักษรเหมือนกัน หรือเป็นอักษรประเภทเดียวกัน หรืออักษรที่มีเสียงคู่กัน ก็ใช้ได้ สัมผัสใน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ สัมผัสสระและสัมผัสอักษร
- 2.1 สัมผัสสระ ได้แก่คำคล้องจองที่มีสระและมาตราสะกดอย่างเดียวกัน เช่น
บางน้ำจืดชื่อบางเป็นทางคิด | ใครมีจิตจืดนักมักหมองหมาง | |
คนใจจืดชืดชื้อเหมือนชื่อบาง | ควรตีห่างเหินกันจนวันตาย |
อันน้ำจืดรสสนิทกว่าจิตมืด | ถึงเย็นชืดลิ้มรสหมดกระหาย | |
แต่ใจจืดรสระทมขมมิวาย | มักทำลายมิตรภาพให้ราบเตียน | |
— จาก นิราศวัดสิงห์ |
- 2.2 สัมผัสอักษร ได้แก่ คำคล้องจองที่ใช้ตัวอักษรชนิดเดียวกัน หรือตัวอักษร ประเภทเดียวกัน หรือใช้ตัวอักษร ที่มีเสียงคู่กัน ที่เรียกว่า "อักษรคู่" เช่น ข ค ฆ หรือ ถ ท ธ เป็นต้น เช่น
- ใช้ตัวอักษรชนิดเดียวกัน คือใช้อักษรตัวเดียวกันตลอดทั้งวรรค ดังนี้
แลลิงลิงเล่นล้อ | ลางลิง | |
พาเพื่อนเพ่นพ่านพิง | พวกพ้อง | |
ตื่นเต้นไต่ต่อติง | เตี้ยต่ำ | |
ก่นกู่กันกึกก้อง | เกาะเกี้ยวกวนกัน |
- ใช้ตัวอักษรประเภทเดียวกัน คือใช้อักษรที่มีเสียงเหมือนกัน แต่รูปไม่เหมือนกัน เช่น ค ฆ ท ธ ร ล ศ ษ ส เป็นต้น ดังนี้
ศึกษาสำเร็จรู้ | ลีลา กลอนแฮ | |
ระลึกพระคุณครูบา | บ่มไว้ | |
อุโฆษคุณาภา | เพ็ญพิพัฒน์ | |
นิเทศธรณินให้ | หื่นซ้องสาธุการ |
- ใช้อักษรที่มีเสียงคู่กัน คือใช้อักษรต่ำ ชนิดอักษรคู่ 14 ตัว กับอักษรสูง 11 ตัว ซึ่งมีเสียงผันเข้ากันได้ เป็นคู่ๆ ดังนี้
- ใช้อักษรที่มีเสียงคู่กัน คือใช้อักษรต่ำ ชนิดอักษรคู่ 14 ตัว กับอักษรสูง 11 ตัว ซึ่งมีเสียงผันเข้ากันได้ เป็นคู่ๆ ดังนี้
อักษรต่ำ 14 ตัว | อักษรสูง 11 ตัว |
---|---|
ค ฆ | ข |
ช ฌ | ฉ |
ซ (ทร-ซ) | ศ ษ ส |
ฑ ฒ ท ธ | ฐ ถ |
พ ภ | ผ |
ฟ | ฝ |
ฮ | ห |
- ตัวอย่างดังนี้
คูนแคขิงข่าขึ้น | เคียงคาง | |
แฟงฟักไฟฝ่อฝาง | ฝิ่นฝ้าย | |
ซางไทรโศกสนสาง | ซ่อนซุ่ม | |
ทิ้งถ่อนทุยท่อมท้าย | เถื่อนท้องแถวถิน |
สัมผัสในดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ จึงมิได้มีแบบกำหนดมาแต่โบราณ แต่ถ้าไม่มี ก็ขาดรสไพเราะ ซึ่งเป็นยอดของรส ในเชิงฉันทลักษณ์ เพราะฉะนั้น คำประพันธ์ที่ดี จะขาดสัมผัสในเสียมิได้ เหมือนเกสร เป็นเครื่องเชิดชู ความสวยงามของบุปผชาติฉะนั้น
คำเป็นคำตาย
[แก้]- คำเป็น คือ คำที่ไม่มีตัวสะกดประกอบด้วย สระเสียงยาว (ทีฆสระ) ในแม่ ก กา และคำที่มีตัวสะกด ในแม่กน กง กม เกย (คำที่มีตัว ว สะกด จัดอยู่ในแม่เกย) รวมทั้ง สระสั้นทั้ง 4 ตัว คือ อำ ใอ ไอ เอาเช่น ตาดำชมเชยคนหุงข้าวเหนียวในครัวไฟ
- คำตาย คือ คำไม่มีตัวสะกดที่ประกอบด้วย สระเสียงสั้น (รัสสระ) ในแม่ ก กา (ยกเว้น อำใอ ไอเอา) และคำที่มีตัวสะกด ในแม่ กก กด กบ เช่น นกกะหรอด กับนกกะปูด จิกพริก (ในการแต่งโคลงทุกชนิด ใช้คำตายแทน เอก ได้)
คำนำ
[แก้]คำนำ คือคำที่ใช้กล่าวขึ้นต้น สำหรับเป็นบทนำ ในคำประพันธ์ เป็นคำเดียวบ้าง เป็นวลีบ้าง เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น โฉมเฉลา น้องเอ๋ยน้องรัก รถเอ๋ยรถทรง ครานั้น สักวา ฯลฯ บางทีก็ใช้คำนามตรง ๆ เหมือนอย่าง นามอาลปนะ เช่น สุริยา พระองค์ ภมร ดวงจันทร์ ฯลฯ ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
ปทุมา | โสภาหมดจดสดสี | |
เกิดในใต้ตมวารี | แต่ไร้ราคีเปือกตม | |
— ฯลฯ |
ภมร | สุนทรมธุรสถ้อยหรรษา | |
กลั่นกล่าวเร้าดวงวิญญาณ์ | วาจาสิ้นลมคมใน | |
— ฯลฯ |
คำสร้อย
[แก้]คำสร้อย คือคำที่ใช้สำหรับลงท้ายบทหรือท้ายบาทของคำประพันธ์ ซึ่งตามธรรมดา มีคำซึ่งมีความหมายอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ยังไม่ครบจำนวนคำตามที่บัญญัติไว้ ในคำประพันธ์จึงต้องเติมสร้อยเพื่อให้มีคำครบตามจำนวน และเป็นการเพิ่มสำเนียงให้ไพเราะในการอ่านด้วย คำสร้อยนี้จะเป็นคำนาม คำวิเศษณ์ คำกริยานุเคราะห์ คำสันธาน หรือคำอุทาน ก็ได้ แต่ถ้าเป็นคำอุทานที่มีรูปวรรณยุกต์ ต้องตัดรูปวรรณยุกต์ออก และไม่ต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ มิฉะนั้น จะขัดต่อการอ่านทำนองเสนาะ และในการใช้นั้น ควรเลือกคำที่ท่านวางเป็นแบบฉบับไว้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- คำนาม เช่น พ่อ แม่ พี่
- คำกริยานุเคราะห์ เช่น เทอญ นา
- คำสันธาน เช่น ฤๅ แล ก็ดี
- คำอุทาน เช่น ฮา แฮ เฮย เอย เวย รา อา นอ
- คำวิเศษณ์ เช่น บารนี เลย
คำสร้อย นี้ ต้องเป็นคำเป็น จะใช้คำตายไม่ได้ และใช้เฉพาะบทประพันธ์ ชนิดโคลง และร่าย เท่านั้น
สุนทรียภาพของฉันทลักษณ์ไทย
[แก้]คือ แง่ความงามของฉันทลักษณ์เป็นเครื่องยังให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ เกิดจากองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่
สุนทรียรูป
[แก้]ได้แก่ การเลือกใช้รูปแบบของคำประพันธ์ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและอารมณ์ที่ผู้แต่งต้องการสื่อ รวมทั้งความถูกต้องตามแบบแผนของคำประพันธ์ที่เลือกด้วย
สุนทรียลีลา
[แก้]คือ แง่งามในด้านกระบวนการพรรณนา ซึ่งมีอยู่ 4 กระบวน คือ
- เสวรจนี กระบวนการชมความงามทั้งของตัวละครและสิ่งต่าง ๆ
- นารีปราโมทย์ กระบวนการเล้าโลมเกี้ยวพาราสีหรือพูดให้เพลิดเพลิน
- พิโรธวาทัง กระบวนการตัดพ้อ โกรธขุ่นเคือง เยาะเย้ย เหน็บแนม
- สัลลาปังคพิสัย กระบวนการคร่ำครวญ โศกเศร้า พร่ำเพ้อ อาลัยอาวรณ์
สุนทรียรส
[แก้]คือ แง่งามด้านอารมณ์สะเทือนใจ อันเกิดจากกระบวนการพรรณนา และกลวิธีการประพันธ์ที่เหมาะสม มีอยู่ 9 รส คือ
- สิงคารรส (รสแห่งความรัก)
- หาสยรส (รสแห่งความตลกขบขัน)
- กรุณารส (รสแห่งความเมตตากรุณา)
- รุทธรส (รสแห่งความโกรธ)
- วีรรส (รสแห่งความกล้าหาญ)
- ภยานกรส (รสแห่งความกลัว)
- วิภัจฉารส (รสแห่งความเกลียดชัง ขยะแขยง)
- อัพภูตรส (รสแห่งความพิศวง อัศจรรย์)
- สันตรส (รสแห่งความสงบ เยือกเย็น บริสุทธิ์)
ขนาด
[แก้]ฉันทลักษณ์ในงานร้อยกรอง มีขนาดลดหลั่นกัน ดังนี้ คือ บท → บาท → วรรค → คำ เฉพาะในคำประพันธ์ประเภทกลอน มักเรียกว่า คำกลอน แทนคำว่า บาท
คำประพันธ์ส่วนใหญ่ กำหนด 1 บท เป็น 2 บาท และ 1 บาท เป็น 2 วรรค แต่ยังมีคำประพันธ์อีกไม่น้อย ที่กำหนดบาทแตกต่างไปจากนี้ โดยแต่ละบาทจะมีชื่อเรียกกำกับ ว่า บาทเอก บาทโท บาทตรี บาทจัตวา บางครั้งอาจใช้จำนวนนับแทน เช่น บาทที่หนึ่ง บาทที่สอง เป็นต้น